สำหรับการดูแลรักษาสิ่งแวด ล้อมในประเทศเกาหลีใต้นั้น ได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เรียกได้ว่าเขาร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวได้ดี ในการช่วยกันรักษาความสะอาดให้กับประเทศของตน ซึ่งในเรื่องการแยกขยะ ต้องยอมรับว่าเกาหลีมีระบบการจัดการที่ดีมากจริงๆ เรื่องนี้ถ้าคนที่เคยไปอยู่ที่ประเทศเกาหลีมาแล้วจะต้องจำได้ดีอย่างแน่นอน เพราะว่ามันค่อนข้างยุ่งยากสำหรับคนไทยมาก เนื่องจากขยะของเกาหลีเขาต้องแยกกันตั้งแต่ในบ้านเลย และมีหลายประเภทมาก ไม่ใช่ทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าก็ได้ คนไทยนั้นแค่แยกขยะเปียก ขยะแห้งก็ยังงงๆกันอยู่เลย แต่ที่เกาหลีเขาเชี่ยวชาญด้านนี้ แทบทุกบ้านต้องมีตะกร้าใส่ขยะอยู่ในบ้านหลายประเภททีเดียว ตัวอย่างสำหรับประเภทที่เห็นบ่อย คร่าวๆ ดังนี้
- ขยะประเภทกระดาษ เช่น หนังสือเก่า กล่องนม หนังสือพิมพ์
- ขยะประเภทแก้ว เช่น พวกขวดเหล่า หรือบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง
- ขยะประเภทโลหะ เช่น กระป๋องเครื่องดื่ม
- ขยะประเภทพลาสติก เช่น พวกของเล่นพลาสติก ขวดยาคูลท์ (ฝาฟอยล์ต้องดึงออกไปทิ้งเป็นขยะทั่วไป) ขวดพลาสติกใส่น้ำ
- ขยะประเภทเสื้อผ้า เช่น พวกเสื้อ กางเกงเก่าๆ กระเป๋าเก่า เป็นต้น
- ขยะประเภทแก้ว เช่น พวกขวดเหล่า หรือบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง
- ขยะประเภทโลหะ เช่น กระป๋องเครื่องดื่ม
- ขยะประเภทพลาสติก เช่น พวกของเล่นพลาสติก ขวดยาคูลท์ (ฝาฟอยล์ต้องดึงออกไปทิ้งเป็นขยะทั่วไป) ขวดพลาสติกใส่น้ำ
- ขยะประเภทเสื้อผ้า เช่น พวกเสื้อ กางเกงเก่าๆ กระเป๋าเก่า เป็นต้น
(ถ้า เป็นบรรจุภัณฑ์ ต้องเทสิ่งที่บรรจะออกให้หมดก่อน แล้วล้างให้สะอาด ผึ่งไว้ให้แห้งก่อนนำไปทิ้งตามประเภทขยะ เช่น กล่องนม ต้องล้างให้สะอาดก่อนทิ้ง ทั้งนี้เพื่อทำให้ขยะสะอาดและไม่ส่งกลิ่นเหม็นออกมา ส่วนถ้ามีฝาก็ให้ดึงฝาออกไปแยกทิ้งตามประเภทขยะด้วย) ซึ่งประเภทตามที่กล่าวมานี้เป็นจยะที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ มีกฎให้แต่ละบ้านนำจยะออกมาทิ้งไดอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับวันทิ้งจยะของแต่ละพื้นที่ ดังนั้นคนเกาหลีจึงต้องเตรียมจัดเก็บขยะของตนไปทิ้งตามวัน เวลา และยริเวณที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
นอก จากนี้แล้วยังจัดแบ่งประเภทขยะทั่วไป และขยะเศษอาหารด้วย ซึ่งสองประเภทนี้มักจะทำให้คนสับสนกันมากว่า ต้องแยกขยะอย่างไรกันแน่ ก่อนอื่นเลยต้องอธิบายให้ฟังก่อนว่า "ขยะทั่วไป" ก็คือ ขยะที่ไม่สามารถนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้แล้ว หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ยาก เช่น พวกถุงขนมขบเคี้ยว ถุงพลากสติกใส่ของ กระดาษทิชชู กระดาษฟอยล์ห่ออาหาร ฯลฯ และด้วยเหตุผลที่มันเป็นขยะที่ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ และแถมยังย่อยสลายยากอีกนี้เอง จึงทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้คิดกลวิธีที่จะทำให้ประชาชนช่วยกันลดการใช้ขยะเหล่า นี้ขึ้น ซึ่งก็คือ เวลาที่จะทิ่งขยะประเภททั่วไปนั้น จะต้องไปซื้อถุงที่ใส่เฉพาะขยะประเภทนี้เท่านั้น ห้ามใส่ถุงพลาสติกธรรมดาทิ้งเป็นอันขาด ถุงนี้หาซื้อได้ง่ายตามมาร์ท หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาก็ตามขนาด เรียกได้ว่ายิ่งทิ้งเยอะก็ยิ่งเสียตังค์มากนั่นเอง ส่วนขยะที่ทุกครัวเรือนต้องมีทิ้ง อย่างเช่น "ขยะเศษอาหาร" ที่เกาหลีเวลาจะทิ้งเศษอาหารต้องกรองเกาแต่เนื้อใส่ถังขยะเศษอาหารไว้ ซึ่งถังขยะนี้จะต้องมีฝาปิด เพื่อไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นและป้องกันแมลง คิดว่าไม่ยากใช่มั้ย คิดผิดแล้ว เพราะว่าขยะเศษอาหารจะต้องเป็นขยะที่เคยเป็นอาหารที่คนเราสามารถรับประทาน ได้ หรือเรียกง่ายๆว่าอาหารเหลือๆ หรืออาหารบูดเน่าเท่านั้น พวกเปลือกหอย เปลือกผลไม้ เปลือกไข่ กระดูก ก้างปลา หรือส่วนที่ใช้ทำเป็นอาหารไม่ได้ของผัก นั้นถือว่าจัดอยู่ในประเภทขยะทั่วไปทั้งสิ้น อย่าสับสนทิ้งผิดเชียว สำหรับขยะทั่วไปและขยะเศษอาหาร ทุกบ้านสามารถนำออกมาทิ้งได้ทุกวัน ตามสถานที่ที่กำหนดไว้ของแต่ละบริเวณที่อยู่อาศัยนั้นๆ สำหรับพวกหัวใสที่คิดมักง่ายเอาขยะไปแอบทิ้งไว้ตามบริเวณเสาไฟฟ้าบ้าง ตามซอกมุมตึกต่างๆบ้าง ถ้าถูกจับได้จะต้องเสียค่าปรับ เรื่องสอดส่องเนี่ยเก่าหลีใต้เขาเก่งมาก เพราะกล้อง cctv มีอยู่เยอะมากเรียกได้ว่าเห็นทุกซอกทุกมุมกับตลอดเวลา
ที่ ต้องแยกขยะให้ชัดเจนแบบนี้รัฐบาลเกาหลีใต้เขามีเหตุผล เนื่องจากเกาหลีใต้มีนโยบายส่งเสริมให้มีการนำเศษอาหารมาผลิตเป็นอาหารสัตย์ และปุ๋ย โดยมีบริษัทเอกชนมารับเศษอาหารเหล่านั้นไปแผลรูปเองอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเศษอาหารจะถูกคัดแยกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนของแข็งและของเหลว โดยของแข็งจะถูกทำให้แห้งด้วยการเป่าลมร้อน แล้วถูกส่งไปยังโรงงานผลิตปุ๋ย ส่วนของเหลวจะนำไปผ่านกระบวนการต้มเป็นระยะเวลานาน ต่อจากนั้นอาหารจะถูกตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐาน เช่น อัตราส่วนไขมัน โปรตีน กากใย และเติมจุลินทรีย์บางชนิดที่ช่วยในการย่อยอาหารของสัตว์ลงไปด้วย สุดท้ายกักเก็บอาหารเหลวไว้ในถังใหญ่ เพื่อรอการแจกจ่ายให้กับเกษตรกรท้องถิ่นต่อไป ส่วนการนำเศษอาหารมาผลิตปุ๋ยนั้น เศษอาหารจะถูกบดให้เล็กลงและถูกทำให้แห้งด้วยความร้อน และนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 3 ระดับ นาน 15 วัน แล้วนำไปผึ่งและปล่อยให้ปุ๋ยมีการย่อยสลายอย่างเต็มที่ ในระหว่างนั้นมีการคลุกเคล้าให้เข้ากันไปเรื่อยๆ เมื่อเสร็จขั้นตอนการผลิตจะมีการตรวจสอบมาตรฐานของปุ๋ยก่อนเสมอ
(ข้อมูลบางส่วนจาก "หนังสือพิมพ์เสียงภูพาน")
ยัง ไม่หมดเพียงเท่านั้น เกาหลียังมีวิธีกำจัดขยะด้วยการฝังกลบ หลุมฝังกลบขยะที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ คือบ่อขยะซูโดกวอน เปิดรับขยะเมื่อปีพ.ศ. 2535 ตั้งอยู่ที่เขตอินชอน เกิดจากการถมทะเล จึงสามารถตัดปัญหาเรื่องข้อพิพาทกับพื้นที่ชุมชนไปได้ ซูโดกวอนมีระบบการบริหารจัดการด้านขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบจัดการน้ำเสียรวมถึงเทคโนโลยีผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซไข่เน่า หรือก๊าซมีเทน และด้วยพื้นที่ของซูโดกวอนที่กว้างเทียบเท่ากับ 2,800 สนามฟุตบอลนี้ จะยังคงสามารถรองรับการฝังกลบขยะในอนาคตได้อีกกว่า 20 ปี
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนหลุมฝังกลบขยะซูโดกวอนจาก พื้นที่ของซูโดกวอนในสวนที่ปิดการใช้ประโยชน์ไปแล้วนั้น ให้เป็นสถานที่สำหรับมหกรรมกีฬาแห่งทวีปเอเซียของเรา หรือ "เอเชี่ยน เกมส์ 2014" ซึ่งประเทศเกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพในปีพ.ศ. 2557
นอกจากนี้ประเทศเกาหลีใต้ยังมีกลยุทธที่ช่วยกระตุ้นให้คนในประเทศลดการใช้ ถุงพลาสติก เช่น การซื้อของในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป ถ้าต้องการถุงจะต้องเสียเงินซื้อถุงอีก 50 วอน ประมาณ 1.50 บาท วิธีนี้ช่วยให้คนส่วนใหญ่จะพยายามพกถุงติดตัวไว้เวลาจับจ่ายซื้อของ เป็นการใช้ถุงซ้ำ หรือถ้าซื้อของเยอะๆ แต่ไม่ต้องการเสียเงินค่าถุงตามห้างสรรพสินค้าจะจัดมุมแพ็กของไว้ให้ลูกค้า ของทางห้างนั่นเอง มีลังหลายขนาดให้เลือกใส่ของที่ลูกค้าซื้อ แถมยังใจดีมีสก๊อตเทปและกรรไกรสำหรับปิดลังวางบริการไว้ให้อีกด้วย ช่วยประหยัดทั้งเงินในกระเป๋า และยังได้ช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ถ้าพูดถึงความมีระเบียบของคนเกาหลีต้องมาดูกลยุทธนี้ น่าสนใจไม่เบาทีเดียว กลยุทธนี้คือการหยอดเหรียญ 100 วอน ก่อนการใช้รถเข็นของทางห้างสรรพสินค้าทุกครั้ง โดยลูกค้าจะต้องเอาเหรียญ 100 วอนใส่ไว้ตรงที่จับ ซึ่งจะมีระบบล็อคโซ่ไว้กับรถเข็นคันข้างหน้า เมื่อผลักเหรียญเข้าไปแล้วลูกค้าก็จะสามารถนำรถเข็นไปใช้งานได้ตามปกติ เมื่อใช้รถเข็นเสร็จแล้ว ก็สามารถรับเหรียญ 100 วอนคืนมาได้ เพียงแค่ลูกค้านำรถเข็นไปคืนที่เดิม แล้วล็อครถเข็นไว้กับคันข้างหน้าเหมือนเดิมเท่านั้นเอง วิธีนี้นอกจากจะเป็นการช่วยสร้างนิสัยใช้ของแล้วเก็บเป็นที่เป็นระเบียบให้ กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยประหยัดการจัดจ้างบุคลากรในการดูแลจัดเก็บรถเข็นอีกด้วย
ข้อมูลจากนิตยสาร Friends Magazine ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น