วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

2010 Best Korean Idols

ปี 2553 ที่ผ่านมา ใครบ้างนะที่เป็นสุดยอดไอดอลเกาหลี

1. Girl's Generationปีที่ผ่านมานับเป็นปีทองของเก้าสาววง Girl's Generation สาวๆ ขยันส่งเพลงออกมาเอาใจแฟนคลับอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เพลง Oh! ตามติดๆด้วย Run Devil Run และส่งท้ายปีด้วยเพลง Hoot แต่ละเพลงฮอตฮิตติดชาร์ต กวาดรางวัลจากเวทีต่างๆมาได้หลายถ้วย เพราะทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และท่าเต้นเด็ดได้ใจชนิดที่ว่าใครๆก็ร้องได้เต้นได้ไม่ว่าจะเป็น ลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ แถมยังดังไปไกลถึงต่างประเทศจนไม่มีสาวก KPOP คนไหนไม่รู้จักพวกเธอสมกับมอตโต 지금은 소년시대(ชีกือมึน โซนยอ ชีแด - Now It's Girls' Generation) ของวงจริงๆ เพราะช่วงเวลานี้นี่ละ คือเวลาของพวกเธอ 지금은 소년시대!

2. Super Juniorแม้ปีที่แล้วต้องเดินสายโชว์คอนเสิร์ตนอกประเทศอยู่บ่อยๆ แต่กระแสนิยมในตัว Super Junior ที่เกาหลียังคงแรงดีไม่มีตก พิสูจน์จากรางวัลที่ได้รับจากเวทีดนตรี ยอดขายซีดี และสถิติการดาวน์โหลดเพลงที่พุ่งปรี๊ดไม่แพ้เก้าสาวรุ่นน้องร่วมค่าย แม้แต่ในประเทศไทยเรายังได้ยินเพลง Bonamana และ No Other ของหนุ่มเปิดอยู่ทั่วไป การันตรีได้ในจุดนี้ว่าเพลงเขาฮิตไปทั่วจริงๆ 너 같은 사람 또없어 (นอ กาทึน ซารัม โต ออบซอ) ไม่มีใครเหมือน Super Junior อีกแล้วใช่ไหมล่ะชาว E.L.F.

3. 2NE1แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับสี่สาวสุดแนวอย่าง 2NE1 ที่แม้จะหายหน้าไปพักใหญ่แต่เมื่อกลับมาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ปลายปีที่ผ่านมา สาวๆโปรโมทเพลงรวดเดียวถึง 3 เพลง ได้แก่ Clap Your Hands Go Away และ Can't Nobody แน่นอนว่าทุกเพลงดังเป็นพลุแตก แต่สี่สาวยังไม่หยุดแค่นั้น หลังวันฮาโลวีนยังปล่อยเพลง It Hurts  ออกมาเรียกคะแนนนิยมต่ออีกหนึ่งเพลง มาเต็มขนาดนี้ใครที่เคยบ่นคิดถึงเลยได้หายคิดถึงเป็นปลิดทิ้ง แรงจริงอะไรจริงอย่างนี้ล่ะ 2NE1

4. 2AMเพลง 축어도 놋 보내(Even If Die I Can't Let You Go) ของ 2AM เริ่มโปรโมทตั้งแต่ต้นปี 2010 โน้น
ผ่านมาเกือบปี เพลงนี้ยังคงฮิตไม่เลิก นอกจากจะได้รางวัลจากรายการเพลงแล้ว งานประกาศรางวัลดนตรีต่างๆ ยังพร้อมใจกันมอบ รางวัลเพลงแห่งปีให้กับเพลงนี้อีก หนุ่มๆเสียงดี และร้องประสานกันได้ลงตัวอย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเพลงอื่นๆ ที่ตามมาทั้ง I Did Wrong และ You Wouldn't Answer My Calls จึงได้รับความนิยมนัก ของเขาดีจริงๆ


5. CNBLUEออกตัวแรงจนบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ให้ใจไปเต็มๆ กับสี่หนุ่มอินดี้ร็อคแบนด์ CNBLUE เปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยเพลง I'm a Loner (외톨이야) ไม่ทันไรหนุ่มๆก็กวาดรางวัลจากรายการเพลงดังๆซะเรียบ เท่านั้นไม่พอ สี่หนุ่มยังขอเอาใจชาว Boice ทุกคนต่อด้วยเพลง Love จากซิงเกิ้ลที่สองซึ่งดังไม่แพ้กัน แถมยังได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่จากอีกหลายเวที แหม.. หนุ่มๆเขาทั้งน่ารัก ทั้งเก่ากันขนาดนี้ จะอดใจไม่รักได้ยังไงไหว

6. SHINeeหนุ่มๆ SHINee เติบโตจากน้องชายที่่่น่ารักกลายมาเป็นลูซิเฟอร์หนุ่มผู้น่าหลง อัลบั้ม Lucifer ซึ่งปล่อยออกมาในช่วงกลางปี 2010 นั้น ได้รับความนิยมจนถึงปลายปี และยังติดหูใครหลายคนอยู่จนถึงตอนนี้ ในขณะที่บางคนหันไปติดใจเพลง Hello จาก Repackage Album ซึ่งห้าหนุ่มสลัดคราบลูซิเฟอร์ออกเป็นชายหนุ่มอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ แต่เชื่อว่าไม่ว่า SHINee จะอยู่ในลุคไหนก็เป็นที่รักของเหล่า SHINee World เสมอ ข้อนี้ฟันธง

7. 2PMเพลง Again & Again I Hate You และ Heartbeat ของ 2PM ดังระเบิดไปเมื่อปี 2009 ปีต่อมาหนุ่มๆส่งเพลง With out U และ I'll Be Back มากระชากหัวใจคนฟังอีก ด้วยตัวเพลงและการแสดงอันทรงพลังทำให้ใครๆ พากันเทใจให้หกหนุ่ม รวมถึงคณะกรรมการตัดสินรางวัล MAMA ด้วย แค่เวทีนี้เวทีเดียว 2PM เขาคว้ารางวัลไปได้ตั้ง 3 รางวัลเลยน๊ะเออ

8. KARA
ออกมาขโมยหัวใจใครๆ เมื่อต้นปีกับเพลง Lupin แล้ว สาวๆ KARA ก็หายไปส่ายสะโพกโปรโมทเพลง Mr. ที่ประเทศญี่ปุ่นจนดังเปรี้ยงปร้างอยู่พักใหญ่ ปลายปีจึงกลับเกาหลีมาชวนแฟนๆกระโดดไปพร้อมๆกันในเพลง Jumping เป็นอันว่าตอนนี้ทั้งห้าสาวฮอตฮิตติดลมบนทั้งที่ญี่ปุ่นและเกาหลีไปแล้ว เป็นที่เรียบร้อย สมกับที่อุตส่าห์ทำงานหนักกันตลอดปีจริงๆ


9. Miss Aสี่สาว Miss A เป็นกลุ่มไอดอลน้องใหม่ฝั่งหญิงที่ได้รับความรักจากแฟนๆไม่แพ้กันกับตัวแทนฝั่งหนุ่มๆ อย่าง CNBLUE  สาวๆได้รับความเอ็นดูในฐานะที่เป็นน้องสาวคนเล็กของค่าย JYP ประกอบกับความสามารถในการร้องและเต้นทำให้ Miss A เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ สาวๆเดบิวต์ด้วยเพลง Bad Girl Good Girl ในซิงเกิ้ลแรก และได้รับรางวัลต่างๆจากเพลงนี้ นับเป็นกลุ่มไอดอลน่ารักอนาคตไกลอีกกลุ่มหนึ่งของปี 2010 เลยทีเดียว

10. Lee Seung Giอีซึงกิโด่งดังจากเพลงเปิดตัวชื่อ Because You're My Girl ตอนนี้ผลงานเพลงที่ติดหูทุกคนอยู่คือเพลง Love Taught Me To Drink ที่ได้เบกชันจากวง 8eight มาร่วมฟีจเจอริ่ง และเพลง Losing My Mind ซึ่งเป็นเพลงประกอบละครอย่าง My Girlfriend is a Nine-Tailed Fox หนุ่มคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ร้องเพลง แต่ยังเป็นทั้งนักแสดงและพิธีกรอีกด้วย เก่งรอบด้านขนาดนี้นี่เอง ถึงได้เป็นไอดอลในดวงใจของชาวเกาหลีหลายๆคน

ข้อมูลจากนิตยสาร Friends Magazine ฉบับที่ 5 เดือนมกราคม 2554

นานาสาระ..ฮันกึล..น่ารู้

ในสมัยก่อนชาวเกาหลีใช้ตัวอักษรจีน หรือที่เรียกว่า ฮันจา(한자) เป็นภาษาเขียนในการติดต่อสื่อสารมากว่า 1,000 ปี จนมากระทั่งสมัยของพระเจ้าเซจง กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โชซอน ได้ทรงเห็นว่าอักษรจีนที่ใช้อยู่นั้น มีความยากเกินไปสำหรับประชาชน อีกทั้งคนส่วนใหญ่ที่รู้อักษรจีนก็จำกัดอยู่เพียงแค่ในหมู่ชนชั้นสูง หรือพวกขุนนางเท่านั้น แต่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถอ่าน เขียนอักษรจีนได้ ทำให้พระเจ้าเซจงได้ทรงคิดประดิษฐ์ตัวอักษรที่อ่านง่ายและเหมาะสำหรับคนเกาหลีทั่วไป และในปีค.ศ. 1443 นั้นเอง อักษรฮันกึล 한글 หรืออักษรเกาหลีได้ถูกประดิษฐ์เสร็จสมบูรณ์ และถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1446 ในเอกาสารที่ชื่อว่า 'ฮุนมินจองอึม' 훈민정음 ซึ่งแปลว่า เสียงอักษรที่ถูกต้องเพื่อการศึกษาสำหรับประชาชน ซึ่งปัจจุบันประเทศเกาหลีใต้ได้กำหนดให้วันที่ 9 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการ เรียกว่า "วันฮันกึล" 한글날 ในการเริ่มใช้อักษรฮันกึลช่วงแรกๆนั้นมีเสียงคัดค้านจากเหล่าบัณฑิตอยู่ไม่น้อย แต่ต่อมาอักษรฮันกึลก็ได้แพร่หลายมากขึ้น ส่วนอักษรจีนนั้นก็ค่อยๆลดบทบาทลง จนในปัจจุบันมีให้เห็นเพียงตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในทางราชการอยู่ไม่มากนัก ฮันกึลในสมัยพระเจ้าเซจง มีอักษร 28 ตัว ประกอบด้วย พยัญชนะ 17 ตัว และสระ 11 ตัว แต่ในปัจจุบันนั้นมี 24 ตัว ประกอบด้วย พยัญชนะ 14 ตัว คือ ㄱ ㄴ ㄷ ㄹ ㅁ ㅂ ㅅ ㅇ ㅈ ㅊ ㅋ ㅌ ㅍ และ ㅎ และสระ 10 ตัว คือ ㅏ ㅑ ㅓ ㅕ ㅗ ㅛ ㅜ ㅠ ㅡ และㅣ
ซึ่งในภาษาเกาหลีจะมีการนำพยัญชนะ และสระ มาผสมกันเป็นคำ คล้ายกับภาษาไทย แต่ว่าภาษาเกาหลีไม่มีเสียงวรรณยุกต์ ด้วยความง่ายของภาษา อีกทั้งจำนวนตัวอักษรก็มีไม่เยอะ ทำให้เด็กเกาหลีสามารถเรียนรู้ภาษาเกาหลีได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั้งชาวต่างชาติที่เริ่มหัดเรียนภาษาเกาหลีใหม่ๆ ก็สามารถอ่านและเขียนอักษรเกาหลีได้ภายใน 2-3 ชั่วโมงแรก แต่ข้อด้อยของภาษาเกาหลีก็มีเช่นกัน เนื่องจากภาษาเกาหลีมีจำนวนพยัญชนะไม่มาก ทำให้มีพยัญชนะกำกับเสียงต่างๆได้ไม่ครอบคลุม เช่น คนเกาหลีไม่สามารถออกเสียง เฟอะ/f/ เวอะ/v/ ได้ เพราะว่าในภาษาเกาหลีไม่มีเสียงนี้ ดังนั้นเพื่อนๆจึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าคนเกาหลีจะออกเสียงทับศัพท์ คำว่า movie เป็น 'มูบี้' 뮤비 หรือแม้กระทั่งชื่อนิตยสาร friends ก็จะออกเสียงเป็น "พือเร็นจือ" 프렌즈 เป็นต้น สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่้สนใจภาษาเกาหลี จะลองไปหาซื้อหนังสือมาศึกษาด้วยตนเองก่อนก็ได้นะ เพราะว่าการอ่าน และการเขียนภาษาเกาหลีไม่ยากเลย ฝึกแป๊ปเดียวก็เป็นแล้ว ขอเอาใจช่วยคนที่กำลังเรียนภาษาเกาหลีอยู่ทุกคน ให้ตั้งใจเรียนจะได้เก่งๆ ภาษาเกาหลีกันทุกคนเลย


ข้อมูลจากนิตยสาร Friends Magazine ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2553

เรื่องขยะแบบ เกาลี้ เกาหลี

สำหรับการดูแลรักษาสิ่งแวด ล้อมในประเทศเกาหลีใต้นั้น  ได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน  เรียกได้ว่าเขาร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวได้ดี ในการช่วยกันรักษาความสะอาดให้กับประเทศของตน ซึ่งในเรื่องการแยกขยะ ต้องยอมรับว่าเกาหลีมีระบบการจัดการที่ดีมากจริงๆ เรื่องนี้ถ้าคนที่เคยไปอยู่ที่ประเทศเกาหลีมาแล้วจะต้องจำได้ดีอย่างแน่นอน เพราะว่ามันค่อนข้างยุ่งยากสำหรับคนไทยมาก เนื่องจากขยะของเกาหลีเขาต้องแยกกันตั้งแต่ในบ้านเลย และมีหลายประเภทมาก ไม่ใช่ทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าก็ได้ คนไทยนั้นแค่แยกขยะเปียก ขยะแห้งก็ยังงงๆกันอยู่เลย แต่ที่เกาหลีเขาเชี่ยวชาญด้านนี้ แทบทุกบ้านต้องมีตะกร้าใส่ขยะอยู่ในบ้านหลายประเภททีเดียว ตัวอย่างสำหรับประเภทที่เห็นบ่อย คร่าวๆ ดังนี้
- ขยะประเภทกระดาษ เช่น หนังสือเก่า กล่องนม หนังสือพิมพ์
- ขยะประเภทแก้ว เช่น พวกขวดเหล่า หรือบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง
- ขยะประเภทโลหะ เช่น กระป๋องเครื่องดื่ม
- ขยะประเภทพลาสติก เช่น พวกของเล่นพลาสติก ขวดยาคูลท์ (ฝาฟอยล์ต้องดึงออกไปทิ้งเป็นขยะทั่วไป) ขวดพลาสติกใส่น้ำ
- ขยะประเภทเสื้อผ้า เช่น พวกเสื้อ กางเกงเก่าๆ กระเป๋าเก่า เป็นต้น

(ถ้า เป็นบรรจุภัณฑ์ ต้องเทสิ่งที่บรรจะออกให้หมดก่อน แล้วล้างให้สะอาด ผึ่งไว้ให้แห้งก่อนนำไปทิ้งตามประเภทขยะ เช่น กล่องนม ต้องล้างให้สะอาดก่อนทิ้ง ทั้งนี้เพื่อทำให้ขยะสะอาดและไม่ส่งกลิ่นเหม็นออกมา ส่วนถ้ามีฝาก็ให้ดึงฝาออกไปแยกทิ้งตามประเภทขยะด้วย) ซึ่งประเภทตามที่กล่าวมานี้เป็นจยะที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ มีกฎให้แต่ละบ้านนำจยะออกมาทิ้งไดอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับวันทิ้งจยะของแต่ละพื้นที่ ดังนั้นคนเกาหลีจึงต้องเตรียมจัดเก็บขยะของตนไปทิ้งตามวัน เวลา และยริเวณที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

นอก จากนี้แล้วยังจัดแบ่งประเภทขยะทั่วไป และขยะเศษอาหารด้วย ซึ่งสองประเภทนี้มักจะทำให้คนสับสนกันมากว่า ต้องแยกขยะอย่างไรกันแน่ ก่อนอื่นเลยต้องอธิบายให้ฟังก่อนว่า "ขยะทั่วไป" ก็คือ ขยะที่ไม่สามารถนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้แล้ว หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ยาก เช่น พวกถุงขนมขบเคี้ยว ถุงพลากสติกใส่ของ กระดาษทิชชู กระดาษฟอยล์ห่ออาหาร ฯลฯ  และด้วยเหตุผลที่มันเป็นขยะที่ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ และแถมยังย่อยสลายยากอีกนี้เอง จึงทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้คิดกลวิธีที่จะทำให้ประชาชนช่วยกันลดการใช้ขยะเหล่า นี้ขึ้น ซึ่งก็คือ เวลาที่จะทิ่งขยะประเภททั่วไปนั้น จะต้องไปซื้อถุงที่ใส่เฉพาะขยะประเภทนี้เท่านั้น ห้ามใส่ถุงพลาสติกธรรมดาทิ้งเป็นอันขาด ถุงนี้หาซื้อได้ง่ายตามมาร์ท หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาก็ตามขนาด เรียกได้ว่ายิ่งทิ้งเยอะก็ยิ่งเสียตังค์มากนั่นเอง ส่วนขยะที่ทุกครัวเรือนต้องมีทิ้ง อย่างเช่น "ขยะเศษอาหาร" ที่เกาหลีเวลาจะทิ้งเศษอาหารต้องกรองเกาแต่เนื้อใส่ถังขยะเศษอาหารไว้ ซึ่งถังขยะนี้จะต้องมีฝาปิด เพื่อไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นและป้องกันแมลง  คิดว่าไม่ยากใช่มั้ย คิดผิดแล้ว เพราะว่าขยะเศษอาหารจะต้องเป็นขยะที่เคยเป็นอาหารที่คนเราสามารถรับประทาน ได้ หรือเรียกง่ายๆว่าอาหารเหลือๆ หรืออาหารบูดเน่าเท่านั้น พวกเปลือกหอย เปลือกผลไม้ เปลือกไข่ กระดูก ก้างปลา หรือส่วนที่ใช้ทำเป็นอาหารไม่ได้ของผัก นั้นถือว่าจัดอยู่ในประเภทขยะทั่วไปทั้งสิ้น อย่าสับสนทิ้งผิดเชียว สำหรับขยะทั่วไปและขยะเศษอาหาร ทุกบ้านสามารถนำออกมาทิ้งได้ทุกวัน ตามสถานที่ที่กำหนดไว้ของแต่ละบริเวณที่อยู่อาศัยนั้นๆ  สำหรับพวกหัวใสที่คิดมักง่ายเอาขยะไปแอบทิ้งไว้ตามบริเวณเสาไฟฟ้าบ้าง ตามซอกมุมตึกต่างๆบ้าง ถ้าถูกจับได้จะต้องเสียค่าปรับ เรื่องสอดส่องเนี่ยเก่าหลีใต้เขาเก่งมาก เพราะกล้อง cctv มีอยู่เยอะมากเรียกได้ว่าเห็นทุกซอกทุกมุมกับตลอดเวลา

ที่ ต้องแยกขยะให้ชัดเจนแบบนี้รัฐบาลเกาหลีใต้เขามีเหตุผล เนื่องจากเกาหลีใต้มีนโยบายส่งเสริมให้มีการนำเศษอาหารมาผลิตเป็นอาหารสัตย์ และปุ๋ย โดยมีบริษัทเอกชนมารับเศษอาหารเหล่านั้นไปแผลรูปเองอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเศษอาหารจะถูกคัดแยกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนของแข็งและของเหลว โดยของแข็งจะถูกทำให้แห้งด้วยการเป่าลมร้อน แล้วถูกส่งไปยังโรงงานผลิตปุ๋ย ส่วนของเหลวจะนำไปผ่านกระบวนการต้มเป็นระยะเวลานาน ต่อจากนั้นอาหารจะถูกตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐาน เช่น อัตราส่วนไขมัน โปรตีน กากใย และเติมจุลินทรีย์บางชนิดที่ช่วยในการย่อยอาหารของสัตว์ลงไปด้วย สุดท้ายกักเก็บอาหารเหลวไว้ในถังใหญ่ เพื่อรอการแจกจ่ายให้กับเกษตรกรท้องถิ่นต่อไป ส่วนการนำเศษอาหารมาผลิตปุ๋ยนั้น เศษอาหารจะถูกบดให้เล็กลงและถูกทำให้แห้งด้วยความร้อน และนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 3 ระดับ นาน 15 วัน แล้วนำไปผึ่งและปล่อยให้ปุ๋ยมีการย่อยสลายอย่างเต็มที่ ในระหว่างนั้นมีการคลุกเคล้าให้เข้ากันไปเรื่อยๆ เมื่อเสร็จขั้นตอนการผลิตจะมีการตรวจสอบมาตรฐานของปุ๋ยก่อนเสมอ
(ข้อมูลบางส่วนจาก "หนังสือพิมพ์เสียงภูพาน")

ยัง ไม่หมดเพียงเท่านั้น เกาหลียังมีวิธีกำจัดขยะด้วยการฝังกลบ หลุมฝังกลบขยะที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ คือบ่อขยะซูโดกวอน เปิดรับขยะเมื่อปีพ.ศ. 2535 ตั้งอยู่ที่เขตอินชอน เกิดจากการถมทะเล จึงสามารถตัดปัญหาเรื่องข้อพิพาทกับพื้นที่ชุมชนไปได้ ซูโดกวอนมีระบบการบริหารจัดการด้านขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบจัดการน้ำเสียรวมถึงเทคโนโลยีผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซไข่เน่า หรือก๊าซมีเทน และด้วยพื้นที่ของซูโดกวอนที่กว้างเทียบเท่ากับ 2,800 สนามฟุตบอลนี้ จะยังคงสามารถรองรับการฝังกลบขยะในอนาคตได้อีกกว่า 20 ปี
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนหลุมฝังกลบขยะซูโดกวอนจาก พื้นที่ของซูโดกวอนในสวนที่ปิดการใช้ประโยชน์ไปแล้วนั้น ให้เป็นสถานที่สำหรับมหกรรมกีฬาแห่งทวีปเอเซียของเรา หรือ "เอเชี่ยน เกมส์ 2014" ซึ่งประเทศเกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพในปีพ.ศ. 2557 


นอกจากนี้ประเทศเกาหลีใต้ยังมีกลยุทธที่ช่วยกระตุ้นให้คนในประเทศลดการใช้ ถุงพลาสติก เช่น การซื้อของในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป ถ้าต้องการถุงจะต้องเสียเงินซื้อถุงอีก 50 วอน ประมาณ 1.50 บาท วิธีนี้ช่วยให้คนส่วนใหญ่จะพยายามพกถุงติดตัวไว้เวลาจับจ่ายซื้อของ เป็นการใช้ถุงซ้ำ หรือถ้าซื้อของเยอะๆ แต่ไม่ต้องการเสียเงินค่าถุงตามห้างสรรพสินค้าจะจัดมุมแพ็กของไว้ให้ลูกค้า ของทางห้างนั่นเอง  มีลังหลายขนาดให้เลือกใส่ของที่ลูกค้าซื้อ แถมยังใจดีมีสก๊อตเทปและกรรไกรสำหรับปิดลังวางบริการไว้ให้อีกด้วย ช่วยประหยัดทั้งเงินในกระเป๋า และยังได้ช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ถ้าพูดถึงความมีระเบียบของคนเกาหลีต้องมาดูกลยุทธนี้ น่าสนใจไม่เบาทีเดียว กลยุทธนี้คือการหยอดเหรียญ 100 วอน ก่อนการใช้รถเข็นของทางห้างสรรพสินค้าทุกครั้ง โดยลูกค้าจะต้องเอาเหรียญ 100 วอนใส่ไว้ตรงที่จับ ซึ่งจะมีระบบล็อคโซ่ไว้กับรถเข็นคันข้างหน้า เมื่อผลักเหรียญเข้าไปแล้วลูกค้าก็จะสามารถนำรถเข็นไปใช้งานได้ตามปกติ เมื่อใช้รถเข็นเสร็จแล้ว ก็สามารถรับเหรียญ 100 วอนคืนมาได้ เพียงแค่ลูกค้านำรถเข็นไปคืนที่เดิม แล้วล็อครถเข็นไว้กับคันข้างหน้าเหมือนเดิมเท่านั้นเอง วิธีนี้นอกจากจะเป็นการช่วยสร้างนิสัยใช้ของแล้วเก็บเป็นที่เป็นระเบียบให้ กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยประหยัดการจัดจ้างบุคลากรในการดูแลจัดเก็บรถเข็นอีกด้วย

ข้อมูลจากนิตยสาร Friends Magazine ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2553

เครื่องดื่มเทรนเกาหลี

ถ้าพูดถึงเครื่องดืมเกาหลีแล้วละก็ ที่คนไทยรู้จักกันดีน่าจะเป็นพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่าง โซจู  ที่มีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อกัน จะดื่มฉลอง หรือดื่มระหว่างสังสรรค์กับเพื่อนๆก็ได้ นี่แหละสไตล์เกาหลีแท้่ๆ  นอกจากนี้แล้วยังมีเครื่องดืมประเภทน้ำอัดลมของเกาหลีที่จะถูกนำมาเปิดตลาด ในประเทศไทย แถมเป็นเครื่องดื่มของบริษัท ล็อตเต้ (LOTTE) ซะด้วย ว่าแล้วไปทำความรู้จักกันเลยแล้วกัน
บริษัท ล็อตเต้ ได้เริ่มผลิตเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 เริ่มแรกทีเดียวนั้นได้ผลิตเครื่องดื่มที่มีชื่อว่า "ชิลซองไซเดอร์"  Chilsung Cider ซึ่งปัจจุบันเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศเกาหลี ด้วยระยะเวลาอันยาวนานกว่าครี่งศตวรรษในการเป็นผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ และคิดค้นเครื่องดื่มสูตรใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ ล็อตเต้ได้ครองใจชาวเกาหลีทั่วทั้งประเทศไปแล้ว ต่อจากนี้ก็ถึงเวลาที่เมืองไทยเราจะได้ลิ้มลองเครื่องดื่มของบริษัท ล็อตเต้ กันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ชิลซองไซเดอร์, มิลคิส, น้ำทับทิม, เลทซ บี มายด์, และ เครื่องดื่มผลไม้รสพีช 2%

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเครื่องดื่มตัวแรกกันก่อนเลยกับเครื่องดื่มน้ำอัดลม ชิลซองไซเดอร์ Chilsung Cider ครื่องดื่มชิลซอง ไซเดอร์ เป็นเครื่องดื่มกลิ่นเลมอนชนิดอัดก๊าซ ที่ปราศจาก คาเฟอีน กลิ่นสังเคราะห์ และไม่ผสมสีสังเคราะห์ เครื่องดื่มนี้ใช้กลิ่นที่ได้จากการสกัดกลิ่นของมะนาว และเลมอน พร้อมให้รสชาติที่สดชื่นกับทุกคน เครื่องดื่มตัวนี้ถึงแม้ว่าดูภายนอกจะมีลักษณะเหมือนน้ำเปล่าใสๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความซ่าาา...แบบสุดๆ แบบที่เรียกว่าซ่าขึ้นสมองเลย ส่วนรสชาติก็จะคล้ายกับสไปรท์ แต่ให้ความซ่ามากกว่าหลายเท่า

เครื่องดื่มเกาหลีตัวต่อไปคือ มิลคิส Milkis มิลคิส เป็นเครื่องดื่มนมผสมน้ำอัดลมแนวใหม่ มีทั้งความสดชื่นจากความซ่า รวมทั้งความอ่อนนุ่มของนมผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเชียว ช่วยทั้งดับความกระหาย และให้รสชาติที่หอมหวานอ่อนๆของนมอีกด้วย

ตัวถัดไปที่อยากให้ลองโดยเฉพาะผู้หญิง เป็นเครื่องดื่มน้ำทับทิม เพื่อนๆจะได้สัมผัสกับกลิ่นของทับทิมเปอร์เซียอยู่ถึง 20% ได้ทั้งรสชาติ ความสดใหม่ และยังได้ความสวยอีก เพราะว่าน้ำทับทิมมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส

สำหรับคนนอนดึก ต้องอ่านหนังสือสอบ หรือไม่อยากนอน ต้องดื่มตัวนี้เลย เลทซ บี มายด์ Let's be Mild... เลทซ บี มายด์ เป็นเครื่อมดื่มประเถทกาแฟอันดับ 1 ของประเทศเกาหลี (Korean NO.1) ซึ่งให้รสชาติของกาแฟที่นุ่มลิ้น และหอมกรุ่น

และตัวสุดท้ายที่ขอแนะนำเป็น เครื่องดื่มผลไม้รสพีช 2% 2% Peach เครื่องดื่มกลิ่นพีชนี้ เป็นเครื่องดื่มที่จะคอยเติมเต็มความสดชื่นให้กับคุณ ซึ่งมีสีใสเหมือนน้ำธรรมดา แต่ให้รสชาติและกลิ่นของผลไม้

เครื่อง ดื่มที่แนะน้ำไปทั้งหมดนี้สามารถหาซื้อได้ที่วัตสัน, วิลล่า มาร์เก็ต และตามมาร์ทชั้นนำทั่วประเทศเร็วๆนี้ โดยเครื่องดื่มเหล่านี้นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท จูงซุง เอฟ แอนด์ ดี (ประเทศไทย) จำกัด 119/71 หมู่ 5 ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร 74000 โทรศัพท์ 034-867-170


ข้อมูลจากนิตยสาร Friends Magazine ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2553

เกมส์ทายนิสัย (เดือนพฤศจิกายน 2553)

ข้อ 1 คุณชอบสีอะไร ระหว่าง
A สีเหลือแดง
B สีแดงเข้มโทนส้มๆ
C สีเขียว ฟ้า หลากหลายสี หรือมีทุกสีเลย
D ไม่มีให้เลือก


ข้อ 2 คุณชอบไปเทียวแบบไหนเอ่ย
A ใครชอบฝันถึงรักโรแมนติก ไปเที่ยวภูเขา หลงป่า มีพระเอกมาช่วย มีสัตว์ประหลาด ภูเขาสั่นไหวครืนๆ
B ชอบดูโบราณสถานที่เกี่ยวกับศาสนา แต่ขอบรรยากาศที่โรแมนติกด้วย แบบเรียนรู้แบบซึมซับน่ะ
C ชอบแบบบุกป่าฝ่าดง มีตื่นเต้นหลากหลายกิจกรรม หรือไปเที่ยวเดินเล่นในสวน คุยกันโรแมนติก เสียงนกร้อง มีน้ำ มีสายลม และสองเรา
D ไม่มีให้เลือก


ข้อ 3 คุณเป็นคนนิสัยแบบข้อใด
A มีเหตุผลของตัวเอง แต่ตามใจผู้ใหญ่เพราะรัก จากชีวิตที่ผ่านมา ต้องทำใสสิ่งที่ไม่อยากทำมาตลอด แต่ทำเพราะความเหมาะสม
B เป็นตัวของตัวเอง รักใครถูกใจใคร ชอบใครถึงจะบริการ หรือเอาใจใส่บุคคลนั้นๆเป็นพิเศษ เป็นพวกซื้อสัตย์กับอารมณ์น่ะ
C เป็นคนที่อะไรก็ได้ ประโยคนี้พูดบ่อยมาก ตามใจ แต่แอบคิด พวกไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่จำไว้น่ะ(มึง)!!
D ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่สถานการณ์


จบแล้วเรามาดูเฉลยกันดีกว่า คุณเหมาะกับไปเที่ยวที่ไหนในเกาหลีช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ซึ่งช่วงนี้คือเดือน ตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ตามภูเขาต่างๆ จะเต็มไปด้วยสีสันของใบไม้สวยงามมาก ถ้าเรามองไปตามภูเขาลูกต่างๆ จะมีสีสันที่แตกต่างกันไป ใครเลือกข้อไหนกันบ้างน้อ เราเอาสถานที่ท่องเที่ยวมาให้คณว่าคุณเหมาะจะไปที่ใด จากท๊อปฮิ่ตติดชาร์ต 3 อันดับสูงสุด

ผู้ที่ตอบข้อ A มากที่สุดใน 3 คำถาม ต้องไปเที่ยวที่นี่ อุทยานฯเขาซอรักซาน
- ภูเขาซอรักซานมีความงามเฉพาะตัวตลอดปีอยู่แล้ว แต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่งดงามที่สุด นักไต่เขาเดินป่าจะเริ่มเดินไปตามทางขอบของภูเขา เพื่อชมความงามของใบไม้สีต่างๆก่อน เมื่อปลายเดือนตุลาคมทั่วทั้งบริเวณจะกลายเป็นสีแดงและเหลือง
- วิธีการเดินทาง จากท่ารถด่วนโซลสู่ชกโซ (4 ชั่วโมง) รถประจำทางสู่ซอรักซาน (35 นาที)


มีใครบ้างตอบข้อ B มากที่สุด นี้เลย คุณเหมาะที่จะไปที่อุทยานเขาแนจางซาน
- จากปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ภูเขาแนจางซานจะมีสีแดงเข้ม ใบเมเปิ้ลเล็กและละเอียด ที่เด่นที่สุดก็คือ อุโมงค์เมเปิ้ลช่วงที่จะถึงวัดแนจางซาน อีกบริเวณหนึ่งที่น่าชมก็คือ บริเวณวัดเพ็กยังซา ที่นี่เช่นกันเต็มไปด้วยเมเปิ้ลสีแดง (ฟังแล้วโรแมนติกจังเลย ^^)
- วิธีการเดินทาง จากที่รถด่วนโซลสู่ชงอับ (3 ชั่วโมง 20 นาที) รถประจำทางสู่วัดแนจางซา (1 ชั่วโมง)


สุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายที่สุด ใครเลือกข้อ C มากที่สุด นี่เลยต้องไปที่ อุทยานฯเขาชีรีซาน
- ในฤดูใบไม้ร่วง ป่าของภูเขาชีรีซาน จะลุกโชติช่วงด้วยแสงสีแห่งฤดูใบไม้ร่วง หุบเขาเบิมซากอลมีความยาว 12 กิโลเมตร และตั้งอยู่ท่ามกลางใบไม้หลากสีเหล่านี้ ซึ่งเมื่อตัดกับสีฟ้าของสระน้ำที่หุบเขาแล้ว จะเป็นที่น่าชมเป็นอย่างมาก และที่หุบเขาปิอากอลนั้น สีของใบไม้จะเป็นสีแดง ถ้าขับรถไปตามถนนส่วนกลางผ่านวีรีซาน (1,130 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) แล้ว ตัวเราเหมือนตกลงไปในอ่างสีทีเดียว
- วิธีการเดินทาง จากท่ารถด่วนโซลสู่นัมวอน (4 ชั่วโมง 10 นาที) รถประจำทางสู่บันซอน (1 ชั่วโมง)
(ขอขอบคุณข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี)


สุดท้ายใครเลือกข้อ D มากที่สุดไม่มีที่ให้ไปเที่ยวหรอก เพราะคุณเป็นคนมีเหตุผล ปรับเปลี่ยนได้ทุกสถานการณ์ แต่รับได้ทุกเงื่อนไข ไม่บ่น ไม่พูด แต่แอบคิด ไม่ต้องเที่ยว อ่านหนังสือพอ เพราะเสียดายเงิน เสียเงินแล้วไม่ถูกใจไปทำไมใช่เปล่า

และใครที่ตอบซ้ำกัน 2 ข้อ ก็ได้ไป 2 ที่นะ ข้อนี้กำไรสุด ประมาณว่าตามใจเจ้าภาพ ถูก คุ้ม ทน แต่อย่าเอาแต่ใจมากนัก เพราะคนเขาเดือนร้อน

จบแล้วแหละ ถ้าอยากรู้จักเกมส์สุดโต่งมากขึ้น เข้าไปเที่ยวเว็บ www.GuRuRaiZencom น๊ะ

ข้อมูลจากนิตยสาร Friends Magazine ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2553